ประกาศศักดา


อาร์เซน่อล ทำภารกิจได้สำเร็จคว้าตั๋วเข้ารอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ด้วยการโค่น "แชมป์เก่า" เรอัล มาดริด

เป็นการเข้ารอบที่คู่ควรและไร้ข้อกังขาอย่างแท้จริงเมื่อจัดการเอาชนะเจ้าของแชมป์มากสุด 15 สมัยได้ทั้งเหย้าและเยือนด้วยสกอร์รวมขาดลอย 5-1

หลังสกอร์นัดแรกออกมาที่ 3-0 ฝั่งราชันชุดขาวทั้งนักเตะ แฟนบอล และสื่อประจำเมืองต่างช่วยกันปลุกเร้าด้วยคำว่า 'Remontada' หรือ 'comeback' เพื่อพลิกสถานการณ์เข้ารอบ

มาดริด เคยทำได้หลายต่อหลายครั้งในอดีต และหากจะมีสักทีมที่ทำได้อีกครั้งก็ต้องเป็นพวกเขา

แต่ตลอด 90 นาทีในซานติอาโก้ เบร์นาเบว ลูกทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ไม่สามารถสร้างโมเมนต์ที่เป็นความหวังในการพลิกนรกออกมาได้ พวกเขาแพ้ อาร์เซน่อล ในทุกกระบวนท่า

นี่เป็นอีกเกมที่ อาร์เซน่อล วางแผนการเล่น และเล่นได้ตามแผนจนกระทั่งจบเกม

มิเกล อาร์เตต้า ยึด 11 ตัวจริงชุดเดิมในการรับมือมาดริดที่ปรับทัพสองตำแหน่งคือแบ็กขวาที่ใช้ ลูคัส บาสเกซ อีกครั้งเพื่อให้ เฟเด วัลเวร์เด้ ขยับไปลุยแดนกลาง ขณะที่ ออเรเลียง ชูอาเมนี่ พ้นโทษแบนกลับมาเสียบแทน เอดูอาโด้ กามาวิงก้า ที่โทษแบนพอดี

เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่าตามคาด แต่สิ่งที่ไม่สามารถทำได้คือการสร้างโอกาสลุ้นประตูแบบจริงจังเพราะ อาร์เซน่อล ปิดช่องได้เกือบหมด

ทีมปืนใหญ่ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตารับอย่างเดียว แต่หลายจังหวะดันเกมสูงไล่บีบตั้งแต่แดนบนไม่ให้ มาดริด เซตเกมขึ้นมาได้ง่าย 


โธมัส ปาร์เตย์ ที่ตามตำแหน่งคือตัวต่ำสุดในแดนกลาง และต้องปักหลักหน้าแบ็กโฟร์เพื่อช่วยเกมรับ ทว่าการสัมผัสบอลเกินครึ่งเกิดขึ้นในแดนของมาดริด และ 3 ครั้งที่แย่งบอลกลับมาครองได้ก็ทำได้ในแดนของคู่แข่งทั้งหมด

ไม่นับพวกที่เล่นเกมรุกโดยตรงอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, มิเกล เมริโน่ และ บูคา ซาก้า ที่สลับกันวิ่งวิ่งไล่เข้า-ออกเข้าเขตโทษเพื่อรบกวนการขึ้นเกมของเจ้าถิ่น

แดนกลางที่ อันเชล็อตติ เลือกใช้คือ จู๊ด, ชูอาเมนี่ และ วัลเวร์เด้ เหมือนจะแข็งแกร่งหนักแน่นกว่านัดแรกที่เป็น จู๊ด, กามาวิงก้า และ โมดริช แต่พวกเขากลับไม่ได้เน้นเจาะตรงกลาง หากแต่เลือกออกริมเส้นและเปิดเข้าเขตโทษ

ไม่น่าเชื่อว่าเกมนี้ เรอัล มาดริด เน้นการครอสบอลเข้าเขตโทษเป็นหลัก ติโบต์ กูร์กตัวส์ถึงกับบ่นหลังเกมว่าตอนนี้ทีมไม่ได้มีตัวเป้าที่เล่นลูกกลางอากาศได้ดีเหมือนที่เคยมี โฆเซลู เป็นซูเปอร์ซับ แต่ทำไมตะบี้ตะบันเปิดกันอยู่นั่นแหละ

สถิติออกมาตรงกับที่ กูร์ตัวส์ ว่าเอาไว้เพราะ มาดริด ครอสบอลมากถึง 42 ครั้ง แต่สำเร็จเพียง 7 ครั้งเท่านั้น

อาร์เซน่อล เชี่ยวชาญพอตัวอยู่แล้วกับการรับมือลูกโด่งเพราะเป็นอีกหนึ่งไพ่เด็ดที่ใช้ทำมาหากินในหลายปีหลังโดยมี นิโกลัส โจเวอร์ ควบคุมงานสร้าง 

ลูกครอสส่วนใหญ่จึงโดน ดาบิด ราย่า กระโดดเก็บกินไม่ยาก หรือไม่ก็ติดคู่เซนเตอร์ วิลเลียม ซาลีบา กับ ยาคุบ คีวิออร์ โดยเฉพาะรายหลังที่ยื่นตำแหน่งดีมาก โหม่งสกัดได้บ่อยครั้งจนลืมไปเลยว่านี่คือคนที่หลายคนแอบห่วงมากสุดตอนรู้ว่าต้องเจอกับ เรอัล มาดริด


อันเชล็อตติ อาจประเมินว่าการเจาะตรงกลางไม่ง่ายและมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะ โธมัส ปาร์เตย์ และ เดแคลน ไรซ์ ยังคงทำผลงานได้ยอดเยี่ยม คุณภาพทั้งรุกและรับ ไม่ปล่อยให้แดนกลางของมาดริดได้คอนโทรลเกมได้เลย 

เดแคลน ไรซ์ ที่นัดแรกสังหารสองฟรีคิกระดับโลกจนหลายคนตาค้างไม่หาย ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในนัดสอง การอ่านเกมชิงจังหวะตัดบอล การเปลี่ยนรับเป็นรุก พลังที่ล้นเหลือวิ่งพล่านได้ทั่วสนาม เรียกได้ว่าทำทุกอย่างจริงๆ เพื่อทีม 

เกมรุกของทัพราชันจึงแทบบอดสนิทในครึ่งแรก ขณะที่ ราย่า ไม่ได้ออกแรงเซฟแม้แต่ครั้งเดียว 

ส่วนสองจังหวะสำคัญที่ต้องพูดถึงในครึ่งแรกคือ จุดโทษ ที่ อาร์เซน่อล ได้แต่ บูคาโย่ ซาก้า ยิงติดเซฟ ขณะที่ เรอัล มาดริด ได้จุดโทษเช่นกันแต่ถูกยกเลิก

จุดโทษของ อาร์เซน่อล ถูกต้องแล้วที่มีการเช็กเหตุการณ์ย้อนหลังและตัดสินแบบนั้นเพราะ ราอูล อาเซนซิโอ้ ไปเหนี่ยวดึง มิเกล เมริโน่ แบบไม่ใจลูกบอลเลย ทว่า กูร์กตัวส์ แก้ตัวให้เพื่อนได้เซฟลูกชิพของ ซาก้า ที่น่าจะยิงได้ดีกว่านี้ 

ส่วนจุดโทษของมาดริดที่ยกเลิกเพราะ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ตั้งใจทิ้งตัวหลังรู้ว่ามีแขนของ ไรซ์ มาสัมผัส กรรมการแก้ไขคำตัดสินได้ถูกต้องแล้วเพราะพัวกันกันของทั้งคู่ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะเป็นจุดโทษ 


อันเชล็อตติ บอกว่าจุดโทษที่ตอนแรกได้ และสุดท้ายไม่ได้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของเกมเพราะหากลูกนี้เป็นจุดโทษและมาดริดนำก่อนซึ่งเป็นช่วงกลางครึ่งแรก ก็น่าจะสร้างกำลังใจได้อย่างมากในการเดินหน้าเพื่อประตูที่ 2 และ 3 กับเวลาที่เหลืออยู่เหลือเฟือ

อาร์เซน่อล ผ่านครึ่งแรกทางได้อย่างที่ต้องการ แม้น่าเสียดายกับจุดโทษที่พลาดไป แต่สิ่งสำคัญกว่าคือไม่เสียประตูก่อน

เรอัล มาดริด พยายามเร่งเกมมากขึ้นในครึ่งหลัง แต่ก็ขาดความต่อเนื่อง และถูก อาร์เซน่อล ตอบโต้เป็นระยะ อันเชล็อตติ แก้เกมส่งสำรองรวดเดียว 3 คน ดานี่ เซบายอส, ฟราน การ์เซีย และ เอ็นดริค ลงมาในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย

แก้ปรับมากของ “อันเช่” เห็นได้ชัดว่าจุดอ่อนตรงแบ็กสองข้าง ดาวิด อลาบา ยังไม่สามารถปิด ซาก้า ได้ดีนัก เช่นเดียวกับ ลูคัส บาสเกซ ที่เอา มาร์ติเนลลี่่ ไม่อยู่เหมือนเคย การ์เซีย จึงได้เล่นแบ็กซ้ายแทน ส่วนแบ็กขวาถอด วัลเวร์เด้ มายืนเหมือนนัดแรก และให้ เซบายอส ลุยแดนกลางในการเจอทีมเก่า

ไฮไลต์สุดของครึ่งหลังคือ 2 ประตูใน 2 นาทีที่ทำให้เกมมีชีวิตชีวาขึ้นมากับสกอร์ 1-1 

แนวรับมาดริดพลาดง่ายๆ แบบที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในลีก มิเกล เมริโน่ ไหลนิ่มๆ ให้ ซาก้า ตามไปตวัดข้าม กูร์กตัวส์ แต่ อาร์เซน่อล ก็เสียคืนเร็ว วิลเลียม ซาลีบา เล่นพลาดไม่ทันระวังโดน วินิซิอุส ฉกไปยิงตีเสมอ 


จากนั้นแทบจะกลับสู่วังวนเดิม มาดริด พยายามโหมมากขึ้น มีโอกาสยิงเข้ากรอบ แต่ไม่ได้จะแจ้งลุ้นเป็นประตูได้ เรียกได้ว่าถ้า ซาลีบา ไม่พลาดก็คงยากที่จะเจาะประตูได้

ยิ่งช่วง 15 นาทีสุดท้ายที่ เอ็มบั๊ปเป้ บาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว โอกาสคัมแบ็กของมาดริดแทบจบไปเลย บางคนออกลูกหงิดหงิดเล่นติดดาบทำฟาวล์ไปหลายครั้ง 

อาร์เซน่อล จึงปิดจ๊อบของตัวเองด้วยการเล่นที่ละเอียดมากกว่า มีวินัยในเกมรับ ไม่ลนลาน นิ่ง และใจเย็น พร้อมได้โบนัสตบท้ายประตูชัยในช่วงทดเจ็บจาก มาร์ติเนลลี่ 

แม้จะมีความผิดพลาดอยู่บ้างทั้งจังหวะของ ซาลีบา หรือกัปตันโอเดการ์ดที่ดูจะจ่ายบอลเสียบ่อยครั้ง แต่ภาพรวมทั้งทีมถือว่าน้อยมากกับการเล่นในสนามอย่างเบร์นาเบว

อันเชล็อตติ กล่าวยอมรับในท้ายที่สุดว่า อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าในสองนัดที่เจอกันโดยเฉพาะเกมรับ เรอัล มาดริด แทบหาพื้นที่เล่นไม่ได้ และต้องหยุดเส้นทางเอาไว้ที่เพียงรอบก่อนรองชนะเลิศ ไม่สามารถป้องกันแชมป์ 

อาร์เซน่อล คู่ควรกับการผ่านเข้ารอบไม่ว่าจะเป็นสกอร์สองนัดที่ออกมาขาดลอย รูปแบบวิธีการเล่นที่ทำได้ตามแผนมากกว่า ความมุ่งมั่นตั้งใจในการเล่น รวมไปถึงสถิติต่างๆ โดยเฉพาะระยะทางในการวิ่งเฉลี่ยทั้งสองทีมที่มากกว่าแบบชัดเจน

มิเกล อาร์เตต้า พาทีมประกาศศักดาได้อีกครั้ง พร้อมขีดเขียนประวัติศาสตร์ด้วยตัวเองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ รวมถึงพิสูจน์ผลงานกับการก้าวข้ามกำแพงใหญ่โตที่ชื่อว่า “เรอัล มาดริด”

“นี่คือหนึ่งในค่ำคืนที่ดีสุดในอาชีพของผม เป็นค่ำคืนที่พิเศษจริง ๆ เราเจอกับทีมที่มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่สุด ทีมที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนในการแข่งขันรายการนี้ 

“การเอาชนะในแบบที่เราทำได้ เราควรต้องภูมิใจกับตัวเองมาก ๆ” อาร์เตต้า กล่าวหลังเกม

ทีมปืนใหญ่ขยับเข้าใกล้ความฝันอีกก้าวด้วยการเข้าสู่รอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์สโมสร และด่านต่อไปที่ขวางทางสู่รอบชิงชนะเลิศคือ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง  

เหลืออีกเพียง 3 นัดสุดท้ายกับเป้าหมายแชมป์ยุโรปสมัยแรก อาร์เซน่อล มาได้ไกลมาก และความรู้สึกหลังผ่านทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้มากสุดคือ “จะไม่หยุดเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน”


ขอบคุณเนื้อหาจาก Thsport.com